เป็นการแยกสารทีผสมกั นใ นปริ มาณน้ อยให้ แยกออกมา เป็นแถบเส้นสีหรือแถบสี อาศัยสมบัติ2ประการคือ - สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตัวทํา ละลายได้ต่างกัน - สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการถูกดูดซับด้วยตัว ดูดซับได้ต่างกัน สารทีละลายในตั วทํ าละลายได้ ดี และ ถูกดูดซับน้อยจะถูกเคลือนที ออกมา ก่อน ส่วนสารทีละลายได้ น้ อยและถู กดู ด ซับได้ดี จะเคลือนที ออกมาที หลั ง 6. ค่า Rf (Rate of flow) เป็นค่าเฉพาะตัวของสาร ขึนอยู ่กั บ ชนิดของตัวทําละลายและตัวดูดซับ ดังนันการบอกค่ าRf ของ สารแต่ละชนิดจึงต้องบอกชนิดของตัวทําละลาย และตัวดูดซับ เสมอค่า Rf สามารถคํานวณได้จากสูตร Rf = ระยะทางทีสารเคมีคลือน ที (cm) (cm) สารต่างชนิดกันจะมีค่า Rf แตกต่างกัน เพราะฉะนันเ ราจึ ง สามารถใช้ค่า Rf มาใช้ในการวิเคราะห์ชนิดของสารได้ กล่าวคือ ถ้าสารใดมีความสามารถในการละลายสูงจะมีค่า Rf Rf < 1 เสมอ การแยกสาร
รวม ใบงานแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.
ตัวทำละลายที่เหมาะสมในการสกัดสาร ควรมีสมบัติ ดังนี้ - ต้องละลายสารที่สารที่ต้องการจะแยกได้ ไม่ละลายสารอื่นๆ ที่ไม่ต้องการ ไม่ทำปฏิกิริยากับสารที่ต้องการจะแยก ควรแยกออกจากสารละลายได้ง่าย ควรมีราคาถูกและหาได้ง่าย ไม่เป็นพิษ
การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม คือ - สถานะที่เป็นของแข็ง ( Solid) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรคงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดติดกัน เช่น ด่างทับทิม ( KMnO 4), ทองแดง ( Cu) - สถานะที่เป็นของเหลว ( Liquid) จะมีรูปร่างตามภาชนะที่บรรจุ และ มีปริมาตรที่คงที่ ซึ่งอนุภาคภายในจะอยู่ชิดกันน้อยกว่าของแข็ง และ มีสมบัติเป็นของไหล เช่น น้ำมัน, แอลกอฮอล์, ปรอท ( Hg) ฯลฯ - สถานะที่เป็นก๊าซ ( Gas) จะมีรูปร่าง และ ปริมาตรที่ไม่คงที่ โดยรูปร่าง จะเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ อนุภาคภายในจะอยู่ ห่างกันมากที่สุด และ มีสมบัติเป็นของไหลได้ เช่น ก๊าซหุงต้ม, อากาศ 2. การใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ จะมีสมบัติทางกายภาพของสารที่ได้จากการสังเกตลักษณะความแตกต่างของเนื้อสาร ซึ่งจะจำแนกได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ - สารเนื้อเดียว ( Homogeneous Substance) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารเหมือนกันทุกส่วน ทำให้สารมีสมบัติเหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น แอลกอฮอล์, ทองคำ ( Au), โลหะบัดกรี - สารเนื้อผสม ( Heterogeneous Substance) หมายถึง สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกันในแต่ละส่วน จะทำให้สารนั้นมีสมบัติ ไม่เหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น น้ำอบไทย, น้ำคลอง ฯลฯ 3.
การหาจุดเยือกแข็ง ( Freezing Point) จะสามารถทดสอบกับสารบริสุทธิ์ และ สารไม่บริสุทธิ์ ซึ่งไม่ค่อยนิยม เพราะจะต้อง ใช้เวลานานมากในการหาจุดเยือกแข็ง โดย - สารบริสุทธิ์จะมีจุดเยือกแข็งคงที่ - สารไม่บริสุทธิ์จะมีจุดเยือกแข็งไม่คงที่ โดยดูจากรูปที่แสดงเป็นกราฟ การแยกสารผสม ใช้ในการแยกสารประกอบซึ่งมี 7 วิธี ได้แก่ 1.
แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หน่วยที่ 4 เรื่องการแยกสาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เวลา 10. 30-11. 30 จำนวน 1 ชั่วโมง ผู้สอน อัจฉริยา แน่นทรัพย์ สถานที่สอน โรงเรียนวันครู 2503 (บ้านหนองบัว) สาระสำคัญ การแยกสาร หมายถึง การแยกสารที่ผสมกันอยู่ตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้น ไปออกจากกัน โดยวิธีการแยกสารก็จะมีด้วยกันหลายวิธีตามชนิดของสารที่ต้องการแยก เช่น วิธีการกรอง การร่อน การระเหย เป็นต้น ซึ่งการแยกสารประกอบด้วยการสาธิตการทดลอง การอธิบายวิธีการ การอธิปรายสรุป และการแสดงการทดลองปฏิบัติการแยกสาร จุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์ปลายทาง นักเรียนสามารถปฏิบัติการแยกสารได้ จุดประสงค์นำทาง 1. นักเรียนสาธิตการทดลองการแยกสารได้ 2. นักเรียนอธิบายวิธีการแยกสารได้ 3. นักเรียนอภิปรายสรุปการแยกสารได้ 4. นักเรียนแสดงการปฏิบัติการทดลองการแยกสารได้ สาระการเรียนรู้ การแยกสาร 1. การทดลองการแยกสาร 2. วิธีการแยกสาร 3. สรุปการแยกสาร 4. ปฏิบัติการทดลองการแยกสาร กระบวนการเรียนรู้ 1. ขั้นสาธิตการทดลองการแยกสาร 1. 1 จัดทำชั้นเรียน โดยให้นักเรียนนั่งเป็นกลุ่ม 2 กลุ่มๆ ละ 5 คน ด้วยความสมัครใจ 1. 2 นำเสนอสื่อ โดยนำอุปกรณ์ที่ใช้ในการการแยกสารมาให้นักเรียนดู 1.
สารผสมละลายอยู่ในตัวทำละลาย และเมื่อให้ความร้อนสารผสมจะละลายได้มากขึ้นจนใกล้ถึงจุดอิ่มตัว (จุดที่สารไม่สามารถละลายต่อไปได้) B.
ตัวทำละลายที่เหมาะสมในการสกัดสาร ควรมีสมบัติ ดังนี้ – ต้องละลายสารที่สารที่ต้องการจะแยกได้ – ไม่ละลายสารอื่นๆ ที่ไม่ต้องการ – ไม่ทำปฏิกิริยากับสารที่ต้องการจะแยก – ควรแยกออกจากสารละลายได้ง่าย – ควรมีราคาถูกและหาได้ง่าย ไม่เป็นพิษ